เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๓ ก.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ฟังธรรมะ เวลาไปวัด เราไปวัดกันด้วยประเพณีวัฒนธรรม เวลาไปวัด เห็นไหม วัดต้องมีโบสถ์ มีวิหาร มีสิ่งก่อสร้างถึงจะเป็นวัด แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ โคนต้นไม้ไม่มีวัดไม่มีวาเลย วัดคือข้อวัตรปฏิบัติ วัดคือวัดใจ ดีและชั่ว วัดอยู่ที่นี่ แต่ของเราไปเป็นวัดกันที่สิ่งที่ปลูกสร้าง

สิ่งที่ปลูกสร้าง เห็นไหม ไปวัดแล้วต้องมีพิธีกรรม พิธีกรรมมันเป็นศาสนพิธี ศาสนพิธีทำเพื่อหล่อหลอม เด็กมาวัดต้องให้เด็กเป็น เข้าวัดเป็น ถ้าเข้าวัดเป็น สิ่งต่างๆ เข้าวัดเป็นไม่เคอะเขิน พระเราถ้ามีศีลนะ จะเข้าสังคมใดก็ไม่เคอะไม่เขิน แต่ถ้าศีลเราด่าง ศีลเราพร้อย เราเข้าวัดที่ไหนเราก็ไม่กล้าเข้าไปกับเขา เพราะอะไร? เพราะว่ามันมีอะไรอยู่ในหัวใจ

นี่สิ่งที่เราไปวัดไปวากัน เห็นไหม ถ้าเราวัดใจ วัดความดีความชั่วของเรา ถ้าเราไปถึงวัด นี่ถ้าเอาความจริงขึ้นมา สิ่งที่ปลูกสร้างขึ้นมาพระสร้างหรือ? ถ้าพระเป็นช่างพระก็ทำได้ แต่ถ้าพระไม่เป็นช่าง ส่วนใหญ่แล้วก็นายช่างเขาทำ วัดที่นายช่างเขาทำ แล้วพระเป็นผู้อยู่อาศัย พระต้องบำรุงรักษา สิ่งนั้นเป็นข้อวัตร

สิ่งที่มันเป็นภายนอกนะ ศาลาโรงธรรมต่างๆ มันไม่ไปนรกสวรรค์หรอก มันเป็นวัตถุมันไม่มีชีวิต แต่คนเสียสละมัน คนที่เป็นเจ้าของมัน เจ้าของที่เสียสละ เจ้าของเป็นผู้กระทำ หัวใจเป็นผู้ที่เสียสละมา หัวใจนั้นมันไปนรก ไปสวรรค์ ไปเป็นคุณงามความดีเขาได้เสียสละ เห็นไหม

ศาลาโรงธรรมสร้างไว้ทำไม? สร้างไว้ให้บัณฑิต อเสวนา จ พาลานํ ไม่คบคนพาลให้คบบัณฑิต คนที่ไปวัดไปวา นี่เขาไปวัดไปวาเพื่ออะไร? เพื่อวัดใจของเขา เขาเป็นบัณฑิตของเขา ถ้าบัณฑิตของเขา เขาได้มาอาศัยสิ่งที่เราได้สร้างไว้ เห็นไหม ศาลาโรงธรรมนี่ให้พวกเขาได้มาอาศัยความร่มเย็น เขาได้อาศัยความร่มเย็นจากสิ่งที่เราปลูกสร้างขึ้นมา นี่บุญกุศลมันเกิดที่ใครล่ะ?

ถ้าเราขุดแหล่งน้ำ คนที่ใช้แหล่งน้ำนั้นเขาได้ประโยชน์จากเรา นี่ผู้ที่มีจิตใจเป็นสาธารณะ เพราะมีข้อวัตรปฏิบัติมันวัดใจของมันได้ แต่ผู้ที่เป็นโลก บอกว่าถ้าไปวัดไปวา คนที่เสียสละเป็นคนถอยหลังเข้าคลอง คนที่ได้ผลประโยชน์ คนนั้นถึงเป็นผู้ได้เปรียบ โลกคิดกันอย่างนั้นนะ ถ้าเอาโลกวัด โลกต้องให้ได้วัตถุมา สิ่งที่เราได้มานั้นเป็นสมบัติของเขา แล้วก็คดโกงกันเพื่อจะให้รักษาสถานะ รักษาทางสังคมของเขา

แต่ถ้าเป็นคนดี เห็นไหม จะสูงจะต่ำไม่สำคัญ สำคัญที่หัวใจมันซื่อสัตย์กับตนเอง มันซื่อสัตย์กับธรรม ไม่ใช่ซื่อสัตย์กับกิเลส ถ้ามันซื่อสัตย์กับกิเลส เพราะมันยึดมั่นถือมั่นในหัวใจของเรา มันกลัวเสียหน้า เสียศักดิ์ศรี เสียความเป็นสถานะของมัน มันจะต้องเอารัดเอาเปรียบเขาตลอดไป การเอารัดเอาเปรียบเขาไป นี่เวลาเราได้เราได้ต่อหน้านะ แต่สิ่งที่เราทำขึ้นมา

คำว่าเอารัดเอาเปรียบเขา คำว่าสิ่งต่างๆ เห็นไหม นี่คนที่เอารัดเอาเปรียบ.. ชนะคนหมื่นแสนสร้างเวรสร้างกรรม คนที่เขาแพ้อำนาจของเรา เขาแพ้ต่างๆ เขาผูกใจเจ็บทั้งนั้นแหละ สิ่งที่ผูกใจเจ็บ แต่เราได้ต่อหน้า แต่ลับหลังเราได้อะไรมา แต่ถ้าเราเสียสละ เห็นไหม เหมือนกับเราเป็นคนที่เสียไป แต่เราได้คุณธรรมมานะ นี่บารมีเกิดที่ไหน?

คนไม่มีบารมีนะ ไปที่ไหนเขาก็ไม่นับหน้าถือตา แต่ถ้าคนมีบารมี บารมีมันเกิดจากอะไรล่ะ? เกิดจากกลิ่นของศีลมันหอมทวนลม กลิ่นของการทำคุณงามความดี คุณงามความดีมันมาจากไหน? ดีนอก ดีในนะ.. ดีข้างนอก ดูสิเสียสละ นี่ให้ปลาเขา ให้ปลาเขาคือให้สละทานไป สอนเขาจับปลา สอนเขาจับปลา เขาหาปลาของเขากินได้ เขาดำรงชีวิตของเขาได้

นี่ก็เหมือนกัน เราเสียสละ เห็นไหม เรามาวัดมาวานี่เราเสียสละ เรามาทำบุญกุศลกัน บุญกุศลเป็นอามิสนะ บุญกุศลทำมากทำน้อยขนาดไหน ถึงที่สุดแล้ว ถ้าทำนบใหญ่แล้ว น้ำเรากักไว้มากขนาดไหนแล้วมาใช้ประโยชน์มัน เราทำบุญกุศลขนาดไหน บุญกุศลนะมันเป็นเสบียงเดินทาง มันเป็นเสบียงจริงๆ เวลาจะออกจากบ้านมา ถ้าเรามีเสบียงมาขนาดไหน เราจะไปได้ไกลขนาดนั้น

บุญกุศลที่เราเสียสละมาแล้วนี่ ใจเราเสียสละมันฝังที่ใจนะ เราทำบุญมา ๑๐ ปี ๒๐ ปีที่แล้ว เราคิดถึงอาหารที่เราเสียสละไปสิ มันเคยบูด เคยเน่า เคยเสียไหม? สิ่งที่มันเป็นทิพย์ เห็นไหม เราคิดถึงสิ่งที่เราเคยเสียสละมาแล้วนี่มันเสียหายไปไหน? มันเป็นของที่ไม่บุบสลายเลยเพราะมันเป็นความรู้สึก พอมันเป็นความรู้สึกมันไปกับใจ ถ้าใจนี่เวลาบุญกุศลเสียสละขึ้นมา ใจมันเบาขึ้นมามันก็เกิดที่ไหนล่ะ?

เวลาเราเกิด เพราะจิตมันไม่เคยตาย ใครจะปฏิเสธ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ นี่สิ่งที่เชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่การกระทำอันนี้มันจะฝังลงที่ใจ เพราะใจเป็นผู้กระทำ นี่เป็นอามิส เห็นไหม เราเสียสละทานขึ้นมา ทานขึ้นมามันมีการเสียสละ การกระทำขึ้นมามันก็เป็นอามิส มันเป็นสิ่งที่สร้างบุญกุศล ถึงที่สุดแล้วถ้าเราจะพ้นจากมันเลย พ้นจากมันเลยเพราะมันน่ารำคาญ มันเกิดตายๆ อย่างนี้ เดี๋ยวดี เดี๋ยวชั่ว

ดูชีวิตเราสิเดี๋ยวก็มีความสุข ลุ่มๆ ดอนๆ เป็นสภาวะแบบนั้น ไปอยู่บนสวรรค์ ไปอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่มันก็เวียนตายเวียนเกิดสภาวะแบบนั้น เราจะรู้หรือไม่รู้ เราจะปฏิเสธไม่ปฏิเสธมันอยู่ที่ความเป็นจริง เพราะกรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน การเกิดของเราเพราะกรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน

เวลาเกิดมาแล้วนี่ ในครอบครัวพี่น้องเขามีความร่มเย็นเป็นสุข แต่เราล่ะ? เราทำไมมันมีความขุ่นใจอยู่ล่ะ? ทำไมเราอยากจะพ้นออกไปจากสิ่งที่มันบีบคั้นใจล่ะ? สิ่งที่มันบีบคั้นใจนี่มันสิ่งอะไร? มันบีบคั้นนะ สิ่งที่บีบคั้นใจ เห็นไหม นี่มีการภาวนาเท่านั้นที่มันจะชำระสิ่งนี้ได้ การภาวนา นี่การภาวนาก็ต้องลงทุนลงแรง การภาวนามันมาจากไหน?

การภาวนา เห็นไหม ความเพียรชอบ การทำความเพียร ความเพียรในตบะธรรมเผาผลาญกิเลสนะ เราไปซื่อสัตย์กับกิเลสนะ เพราะกิเลสมันอยู่ในหัวใจเรา เราตีความเป็นเรื่องของกิเลสหมดเลย สิ่งใดๆ นี่ศึกษาธรรมะก็เป็นเรื่องของกิเลส ถ้าศึกษาธรรมแล้ว ศึกษาธรรม ทำบุญแล้วต้องได้บุญกุศล มันไม่ใช่ทางธุรกิจ เห็นไหม หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง การแลกเปลี่ยนไป ทำบุญแล้วทำไมไม่ได้บุญ มันมีกรรมเก่ากรรมใหม่นะ

กรรมเก่า กรรมใหม่ เห็นไหม ดูสิคนที่มีปัญญาของเขา เขาไม่ได้เสียสละของเขา เพราะเขาเกิดมาในชาติปัจจุบันนี้เขาทุกข์ทนเข็ญใจ แต่เขาเห็นผู้อื่นเสียสละ เขาอนุโมทนาทานไปกับเขา ชื่นใจไปกับเขามันก็ได้บุญ นี่สิ่งที่มันได้บุญ บุญคือการเสียสละ สิ่งที่อนุโมทนาไป สิ่งที่ย้อนกลับเข้ามาจากภายใน ถ้ามันย้อนกลับเข้ามาจากหัวใจ ถ้ามันเห็นสภาวะแบบนั้น มันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน มันทำของมันได้

ถ้ามันทำของมันได้ เห็นไหม เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเพื่ออะไร? นี่วัดใจ วัดจากข้างนอกนะ ดูสิเวลารุ่งอรุณอย่างนี้ อากาศร่มเย็นเป็นสุข เวลาถึงกลางวันทำไมมันแดดร้อนล่ะ? เวลาคล้อยเย็นไปทำไมอากาศมันเย็นล่ะ? ชีวิตเราก็เหมือนกัน ตอนเกิดขึ้นมา ถ้าสิ่งที่มันพอใจมันก็ร่มเย็นเป็นสุข ขณะที่แดดมันร้อนมันก็จะพยายามปฏิเสธ

นี่ก็เหมือนกัน ในการภาวนาของเรา สิ่งที่ภาวนาวันต่อวัน ๒๔ ชั่วโมงเราจะทำอย่างไรของเรา เราต้องคุมของมัน เพราะอะไร? เพราะธรรมะ เห็นไหม เราไปศึกษาธรรมๆ ธรรมมาจากไหน? นี่ธรรมมาจากไหน? ธรรมะมันเป็นชื่อ มันเป็นนาม มันเป็นทฤษฎี แต่ตามความเป็นจริงมันจะเกิดกับเรา เราลังเลสงสัย ถ้ามันเกิดจริงขึ้นมาเราก็พ้นจากความลังเลสงสัย เกิดความเป็นจริงขึ้นมานี่มันรู้จริงขึ้นมา เห็นไหม เราสงสัยว่าอาหารรสชาติเป็นอย่างไร? แต่ถ้าเราได้กินแล้วเราจะสงสัยในรสชาติอาหารนั้นไหม?

ในสมาธิก็เหมือนกัน ในสมาธินี่จิตมันตั้งมั่น ตั้งมั่นอย่างไร? นี่ที่ว่าสุขอื่นใดเท่ากับความสงบไม่มี มันสงบอย่างไร? นี้มันไม่สงบ มันเอาตัวเองสงบ ตัวเองไปอยู่ป่าอยู่เขา ไปวิเวกอยู่ในป่าในเขา แล้วจิตใจมันอยู่กับเราไหม? เราอยู่ในป่าในเขาแต่จิตใจมันอยู่ในเมือง จิตใจมันอยู่ในบ้านในช่อง จิตใจมันคิดถึงข้างนอก เห็นไหม มันไม่อยู่กับเราหรอก

นี่เหมือนกับคนบ้านร้าง ไม่ใช่บ้านร้างไม่มีเจ้าของ ไม่มีเจ้าของเพราะจิตใจมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ถ้ามีสติขึ้นมานี่จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว ถ้าจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว นี่ไงข้อวัตร ถ้ามีข้อวัตรเราฝึกมานั่น มีข้อวัตรปฏิบัติ ถ้าข้อวัตรอันนี้ ข้อวัตรขึ้นมาเพื่อจะเหนี่ยวรั้งไว้ให้จิตใจมันอยู่กับเรา เห็นไหม นี่ไปวัดก็เหมือนกัน วัดใจๆ วัดอย่างนี้ นี่ไปวัด

อยู่บ้านมันก็ไม่อยู่กับเรา เราอยู่ในบ้านนะจิตใจมันก็ฟุ้งซ่านไปข้างนอก ไม่อยู่กับบ้าน แม้แต่ในร่างกายของเรา เราอยู่อย่างนี้จิตใจมันคิดไปข้างนอก เห็นไหม แล้วเรามาอยู่วัด ถ้าเราเก็บต่างๆ พร้อมมา ไปอยู่วัดมันสบายใจนะ ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะคิดวิตกกังวลเลยว่านั่นก็ยังไม่ได้ทำ นี่ก็ยังไม่ได้ทำ นี่อยู่ที่ไหนมันเป็นอดีตอนาคตไปหมด มันส่งไปหมด มันไม่เป็นปัจจุบัน สติเหนี่ยวรั้งไว้ให้เป็นปัจจุบัน

สตินี่ ถ้ามีสติกั้นขึ้นมาจับยึดไว้ ยึดไว้จิตมันต้องอยู่กับเรา นี่ความรู้สึกของเราแท้ๆ เลย แต่อยู่กับเราไม่ได้ ความรู้สึกเราแท้ๆ เลย ให้รูป รส กลิ่น เสียง เป็นเครื่องดึงดูดออกไป มันจะรูป รส กลิ่น เสียง.. เสียงที่เขาว่า เสียงเขาติเตียน เสียงเขาชม เขาสรรเสริญนินทา นี่มันออกไปตามเสียงนั้น เสียงนั้นเขาพูดมาตั้งแต่เมื่อไหร่? เมื่อตั้งแต่ปีที่แล้ว เมื่อตั้งแต่หลายปีที่แล้วมันยังคิดถึงได้ตลอดเวลา

แต่ในปัจจุบันนี้.. ปัจจุบันนี้เราเดินจงกรมนะ ปัจจุบันนี้เรานั่งอยู่นี่ แล้วทำไมจิตเรามันคิดออกไปข้างนอก คิดไปเรื่องตั้งแต่ ๑๐ ปีที่แล้ว ๒๐ ปีที่แล้ว มันคิดไปที่เรื่องอดีต แล้วพอภาวนาขึ้นมาก็คิดถึงอนาคตสมาธิจะเป็นอย่างนั้น ปัญญาจะเป็นอย่างนั้น นี่มันไปซื่อสัตย์กับกิเลส เพราะกิเลสมันอยู่กับเรา

มันซื่อสัตย์กับมันนะ แต่ไม่ซื่อสัตย์กับธรรม ไม่ซื่อสัตย์กับความจริงเลย ไม่ซื่อสัตย์กับสิ่งที่เป็นปัจจุบันธรรม ไม่ซื่อสัตย์เพราะอะไร? เพราะมันไม่รู้ ไม่รู้เพราะอะไร? ไม่รู้เพราะมันเป็นอวิชชา อวิชชามันไม่รู้ใช่ไหม? ถ้าวิชาล่ะ? วิชาคือความเป็นจริง วิชาคือสิ่งที่เป็นประสบการณ์ของใจที่มีสติขึ้นมา แล้วรักษาตัวเองขึ้นมา เห็นไหม

นี่จากข้อวัตรปฏิบัติ ข้อวัตร ไปวัดไปวา วัดวาวัดใจเรา เรามาเพื่อวัดใจเรานะ สิ่งต่างๆ เรื่องวัตถุการก่อสร้างนั้นไม่ต้องไปพูดถึงมัน สิ่งที่สังคมเขาตื่นเต้นไปกับมัน เขาตื่นเต้นไปกับศีลธรรมวัฒนธรรม เป็นการเชิดหน้าชูตาของผู้สร้าง สิ่งที่ผู้สร้าง แต่เราสร้างจากข้างนอก แล้วเราสร้างจากข้างใน เห็นไหม วัดที่ใจ ถ้าที่ใจวัดวาอารามเกิดจากที่นี่

อารามิกชน อยู่ในเรือนว่าง อยู่ในหัวใจที่เป็นความว่าง อยู่ในสิ่งต่างๆ ขึ้นมา อารามิกแยกมันออกมา เนกขัมมบารมี นี่บารมี ๑๐ ทัศขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม นี่สิ่งที่เป็นอธิษฐานบารมี เนกขัมมบารมี ศีลบารมี ทานบารมี.. สิ่งที่เราสร้างขึ้นมานี่ เราสร้างบารมีธรรมของเราขึ้นมา เราอยู่ได้ เราไม่ต้องตกอกตกใจเลย นี่ปัจจัยเครื่องอาศัยพออยู่ได้ ไปอยู่วัด เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านดูแลเราอยู่แล้ว ไม่ต้องไปตื่นเต้น พอไปอยู่วัดปั๊บ นั่นก็ขาดแคลน นู่นก็ขาดแคลน คิดฟุ้งซ่านไปหมดเลย

มันขาดแคลน มันขาดแคลนอะไร? มันขาดแคลนแต่สติ สมาธิของเราเท่านั้นแหละ มันขาดแคลนแต่ความจงใจของเราเท่านั้นแหละ สิ่งนี้มันพอใจอยู่แล้ว แต่เพราะมันเป็นจริตนิสัยใช่ไหม? นี่พอเรามาปั๊บเราเห็นสิ่งต่างๆ มันบกพร่องไปหมดเลย.. มันไม่บกพร่อง มันเต็มเปี่ยมเลย มันล้นด้วย ล้นเลยล่ะ แต่ใจมันบกพร่องต่างหาก พอใจมันบกพร่องขึ้นมา กิเลสมันก็หาทางออก กิเลสมันออกช่องนี้แหละ

ต้องดีอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องหาสิ่งมาเพิ่มเติมตรงนั้น ต้องย้ายตรงนั้นไปไว้ตรงนี้ ตรงนี้ต้องย้ายไว้ตรงนั้น นี่มันเป็นเปรตนะ เปรต เห็นไหม ที่จัดคนให้นอนเสมอกัน คนสูงต่ำไม่เท่ากัน ไปจัดทางเท้า ทางหัวก็ไม่เสมอกัน ไปจัดทางหัว ทางเท้าก็ไม่เสมอกัน จัดไปจัดมาอยู่วันยังค่ำเลย

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อใจมันสิ่งนี้บกพร่องๆ ใครมันบกพร่อง ไม่มีสิ่งใดๆ บกพร่องเลย ปัจจัยเครื่องอาศัย ของที่อาศัย ขณะที่ปัจจุบันนี้นั่งสมาธิหรือเดินจงกรมอยู่นี่สติมันพร้อมไหม? ทุกอย่างมันพร้อมเลย มันพร้อมอยู่แล้ว แต่เราไปจัดมันทำไม? เราไปจัด เหมือนเปรตไปจัดคนนอนให้มันสูงต่ำนี่ไปจัดทำไม? นั่นก็บกพร่อง นี่ก็ขาดแคลน มันไม่ขาดแคลนหรอก นี่ช่องออกของมัน

นี่เราไปซื่อสัตย์กับกิเลส แต่เราคิดว่ามันเป็นการประพฤติปฏิบัติ แต่ถ้าเป็นความจริงทิ้งให้หมด ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เสียสละเท่าไหร่ได้เท่านั้น แต่ถ้าทางโลกนะ ใครได้มากเท่าไหร่ คนนั้นเขาก็ได้ส่วนของเขา.. แต่ในการปฏิบัติ เสียสละ การสละออกทั้งหมดได้เท่านั้นเพราะอะไร? เพราะเราต้องการทำใจเราให้สะอาด เราต้องการทำใจให้เราสงบขึ้นมา ถ้าใจเราสะอาดสงบขึ้นมา เราจะเคารพครูบาอาจารย์ เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามหาศาลเลย

เพราะสิ่งนี้วางไว้ทำไม? เวลาครูบาอาจารย์เรา หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์นะ ทำไมท่านไม่ก้าวล่วงธรรมวินัยแม้แต่ข้อเดียว ไม่ก้าวล่วงเลย ทั้งๆ ที่จิตใจท่านอิ่มเต็ม เห็นไหม เพราะอะไร? เพราะเป็นคติ เป็นตัวอย่างให้เราเป็นแบบอย่างไง เราไปศึกษาในพระไตรปิฎก เราศึกษามาขนาดไหนก็งง ดูสิเราไม่เคยเข้าไปในสำนักงานต่างๆ เราเข้าไปเราจะงงไหม?

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งต่างๆ อริยสัจเราไม่เคยเห็น เราไม่เคยรู้จัก แล้วเราก็ตีความของเราโดยอวิชชาออกมาเป็นวิธีการนะ เป็นทฤษฎี เขียนกัน วิจัยกันให้มันเป็นทฤษฎี กิเลสมันหัวเราะเยาะ เพราะอะไร? เพราะขณะที่เราวิจัยนี่ใครเป็นคนวิจัย ใครเป็นคนคิด เพราะมันคิด ความคิดไม่ใช่ใจ แล้วไอ้ตัวก่อนที่จะมีความคิด ไอ้ตัวอวิชชามันอยู่ที่ไหน? มันเอาเป้าลวงหลอกเราไง ให้เราไปอยู่นอกใจไง

หัวใจอยู่นี่ แต่อารมณ์ความรู้สึกมันอยู่ที่ความคิด ความคิดนี่ เราคิดมันเกิดดับไหม? ถ้าเวลาเราคิดอยู่ เวลาเราคิดขึ้นมาความคิดอยู่กับเราใช่ไหม? เวลาเราไม่คิดใจมันอยู่ไหน? แต่ถ้ามันจิตสงบเข้ามามันสงบไปที่ใจ สงบที่ใจอยู่ที่นั่น ทีนี้ถ้าเราไปอยู่ที่ความคิด เห็นไหม เราออกไปนี่เราไปทำวิจัย เราไปตรึกในศาสนา ไปตรึก..

นี่คิดไปเถอะ คิดไปจนตายไม่หยุดคิด ถ้าหยุดคิดขึ้นมา พอเราหยุดคิด ความคิดมันดับไป ความคิดมันดับเหลืออะไร? เหลือตัวพลังงาน ตัวพลังงาน ตัวจิต ตัวจิตมันตัวอะไร? คือตัวอวิชชาอยู่ที่นี่ แล้วเราแก้ไขกันที่นี่ นี่โลกุตตรปัญญามันจะเกิดที่นี่ แล้วโลกุตตรปัญญามันเกิดอย่างไร? ถ้าเราไม่ฝึกไม่ฝนจะเกิดได้อย่างไร?

ฤๅษีชีไพรสมัยพุทธกาลนะ เขาทำสมาธิได้ก่อนเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ไปศึกษากับอาฬารดาบสได้สมาบัติ ๘ แล้วมันทำอะไรได้? ถ้าไม่มีมรรคญาณขึ้นมา ไม่มีอริยสัจขึ้นมา ไม่มีมรรคขึ้นมา ความเพียรชอบ งานชอบ ความระลึกชอบ ปัญญาชอบ มันชอบอย่างไร?

ถ้าชอบนะกิเลสมันจะขาดไปโดยชอบ ถ้ากิเลสขาดโดยไม่ชอบ มันก็เหมือนกับทำสมาธิไว้เฉยๆ สงบขณะที่มันมีสติ พอมันฟุ้งซ่านขึ้นมานะควบคุมตัวเองไม่ได้ ไปซื่อสัตย์กับกิเลส ให้กิเลสมันเหยียบหัวไง ให้ทิฐิมานะเราเหยียบหัว เหยียบหัวเพราะอะไร? เหยียบหัวตามจริตนิสัย คนชอบสิ่งใดมันก็เชิดชูสภาวะแบบนั้น เวลาธรรมะแสดงธรรมออกมา เห็นไหม ต้องเป็นกฎตายตัว ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น..

ต้องเป็นอย่างนั้นก็ต้องเป็นกิเลสน่ะสิ เพราะมันเป็นกิเลสนี่ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา มันเป็นอนิจจังหมด มันเป็นวิธีการ มันเป็นพาหะ มันเป็นเครื่องดำเนิน มันไม่ใช่ตัวจริง ถ้าไปถึงตัวจริงแล้ว สิ่งที่เราอาศัยมาเราทิ้งหมดเลย นี่เราอาศัยรถมาที่นี่ ถ้าใครไม่ลงจากรถจะขึ้นมาบนนี้ไม่ได้เลย

จิตก็เหมือนกัน อาศัยมรรคญาณ อาศัยสติ สมาธิ ปัญญา เป็นเครื่องก้าวเดินเท่านั้น ตัวมันไม่ใช่เป็นความจริง แต่อาศัยมัน อาศัยมันเข้าไปหาถึงตัวใจ แล้วไปทำลายตัวใจเท่านั้น เห็นไหม ถ้าทำลายตัวใจตัวนี้ได้ นี่สิ่งนี้ประเสริฐที่สุด

นี่วัด เราไปวัดไปวาเพื่อจะค้นหาตัวเอง ไปวัดไปวาเพื่อค้นหาใจ อาศัยข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องดำเนินไป เหมือนเด็ก เด็กมันจะฝึกเดินมันต้องมีที่เกาะไปก่อน แล้วหัดฝึกเดินจนมันจะเดินได้ ข้อวัตรปฏิบัติของครูบาอาจารย์ที่วางไว้ เราอาศัยสิ่งนั้นเป็นเครื่องดำเนินไปก่อน แล้วพอจิตใจเราหมุนนะ ปัญญามันหมุนขึ้นมานะ เหมือนกับเขาวิดน้ำเข้านา ระหัดวิดน้ำเข้านา ถ้าเราเป็นเจ้าของนา เราเห็นระหัดที่วิดน้ำเข้านา เราจะเห็นคุณประโยชน์ของมัน เราจะเห็นประโยชน์ว่านานี่มันทำให้เรามีอาชีพ

ข้อวัตรปฏิบัติของครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน อาศัยว่าจิตนี้ให้มันก้าวเดินตามระหัดนี้ ตามข้อวัตรปฏิบัตินี้ จนมันเห็นประโยชน์ของมันนะมันจะซึ้งใจมาก แต่ถ้ามันไม่เป็นประโยชน์นี่เหมือนเด็กเลย ไม่อยากทำงาน อะไรก็ไม่เอา อะไรก็ไม่เอา ติเตียนไปหมดเลย นู่นก็ผิด นี่ก็ผิด แต่มันไม่เห็นเลยว่าสิ่งที่มันจะถูกจะผิดมันก็ต้องฝึกก่อนสิ ทดสอบก่อน ถูกหรือผิด แล้วผิดนี่มันผิดเพราะเหตุใด? มันถูกเพราะเหตุใด? มันต้องมีเหตุมีผลสิ

“เหตุและผลรวมลงแล้วเป็นธรรม”

รวมลงๆ เหตุและผล ไม่ใช่เหตุอย่างเดียวก็ไม่มี ผลอย่างเดียวก็มาไม่ได้ เหตุและผล เห็นไหม เย ธัมมา “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ไปดับที่เหตุนั้น ไม่ใช่ดับที่ผลนั้น ผลคือทุกข์ไง ทุกข์ที่มันเกิดขึ้นมา แล้วมันเกิดเพราะอะไร? นี่เกิดมาเพราะอะไร? เกิดจากพ่อแม่ แล้วพ่อแม่เกิดมาจากไหน? มันก็สาวไปปู่ ย่า ตา ยาย

ปู่ ย่า ตา ยาย มันเป็นสายบุญสายกรรมนะ แล้วจิตมันอยู่ไหน? แล้วมันแก้กันที่ไหน? ถ้าเกิดจากพ่อแม่แล้วมันแก้กันไม่ได้ ถ้ามันแก้ที่ใจมันแก้ได้ พ่อแม่ก็คือพ่อแม่ สายบุญสายกรรม แต่ใจเราแก้ได้ ถ้าใจเราแก้ได้ เห็นไหม อภิชาตบุตร บุตรที่ดีนี่แก้พ่อแก้แม่ด้วย นี้เป็นประโยชน์กับเรา

นี่ข้อวัตรปฏิบัติ ไปวัด วัดใจเรา ตั้งใจทำ เขาจะมาวัด เห็นไหม เขาไปหาวัดที่สะดวกสบายไง สะดวกสบายนี่ วัดกับศูนย์การค้ามันต่างกันตรงไหนล่ะ? เราไปวัดนะเราต้องให้ไปกระเทือนกิเลส กิเลสมันไม่พอใจ เหมือนเราจับสัตว์มันขัง สัตว์ไม่ยอมเข้ากรง นี่ก็เหมือนกัน ใจมันไม่ยอมเข้าข้อวัตรปฏิบัติ มันไม่ยอมเข้าไปถึงศาสนา เราบังคับมัน บังคับมัน ทำมัน สร้างมันขึ้นมาให้เป็นประโยชน์กับเรา เราเท่านั้น

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนจะเป็นคุณประโยชน์กับเรา ถ้าเราเข้าใจเรื่องธรรมะเราจะเห็นคุณประโยชน์ ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องธรรมะ มันเป็นเรื่องของกิเลส มันจะผลักไส แล้วมันจะไม่ยอมรับ แล้วเราจะเสียเวลาเปล่า เห็นไหม อุตส่าห์มา ตั้งใจให้ได้ แล้วทำให้ได้ ให้มันได้สัมผัสธรรม แล้วมันจะเป็นประโยชน์กับเรา เอวัง